วันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2552

My Favourite...


ในที่สุดก็ตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ซักที ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเขียนเรื่องซ้ำกับคนอื่น...เลยนะเนี่ย 

เนื่องจากการที่ไม่อยากจะเขียนซ้ำ จึงนั่งคิดหาสิ่งที่ชอบ ที่จะสื่อในรูปแบบที่ต่างออกมา ...

ซึ่งคิดไม่ออก 555 ในทีุ่สุดก็หลอกตัวเองไม่ได้ ต้องยอมรับความจริงของตัวเองว่าอยากเขียนถึงสิ่ง้มากที่สุด

"ปลาที่ว่ายในสนามฟุตบอล" ของวินทร์  เลียววารินทร์

ผมรู้จักหนังสือเล่มนี้เพราะชื่อที่แปลกมาก และปกที่แปลกมากกว่า เป็นชื่อหนังสือที่อ่านแล้วสับสนว่ามันคืออะไรกันแน่ คนเขียนต้องการสื่ออะไร แล้วมันหนังสือเกี่ยวกับอะไร ...และแน่นอน ปลามันว่าในสนามฟุตบอลได้ยังไง หลังจากที่อ่านปกหลัง..."หนังสือที่ถามคำถามเกี่ยวกับ ศาสนา อภิปรัชญา สงคราม..." เออะ ไอ้เล่ม้เนี่ยนะ มันหนักขนาดนี้เลย...

วางทันทีึครับ ด้วยความหวาดกลัวเนื่อหาอันหนักแน่น แต่ก็ไม่รู้เพราะอะไร ทุกครั้งที่ไปร้านหนังสือก็ต้องพลิกมันมาอ่านปกหลังทุกครั้ง ในที่สุด วันหนึ่งผมก็หลวมตัวซื้อมันมา

อ่าน... อ่าน... อ่าน.. 

หลังจากอ่านจบ ผมรู้สึกได้ว่าผมโตขึ้นกว่าก่อนอ่าน มากทีเดียว แต่โตทางความคิด เติบโตทางจิตวิญญาณ อาจจะโม้ว่ามีปัญญามากกว่าเดิมเยอะมาก...(ถุยยย....)

คือมันเป็นหนังสือที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับคำถามยากๆ จริงๆแหละ แต่วิธีการตอบของเค้าไม่ได้บอกข้อมูลทางวิชาการ แต่กลับเป็นการชี้นำให้เรามีความคิดที่จะสงสัยสิ่งรอบๆตัวบ้าง มองโลกให้ละเอียดขึ้น 

ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ ไม่งมงาย มีสติกับการใช้ชีวิต 

โตขึ้นจริงๆนะ

ผมมักจะแนะนำให้คนรอบข้างอ่านหนังสือเล่มนี้เสมอ  เพราะอยากให้ทุกคนได้มีโอกาสที่จะได้เรียนรู้อย่างผมบ้าง  ผมกล้าพูดได้ว่า สิ่งที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้ แ นวความคิด การใช้ชีวิต การละทิ้งศาสนา มีหนังสือเล่มนี้เป็นจุดเริ่มต้น

ถ้ามีโอกาส ลองหาอ่านดูนะครับ เผื่อจะพบกับความมหัศจรรย์ครั้งสำคัญของชีวิต  จริงๆนะ

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2552

LOVE ?? What is it?

ใกล้วาเลนไทน์เข้าไปทุกทีแล้ว บรรยากาศของความรักกำลังจะเบ่งบาน ละอองสีชมพูกำลังจะฟุ้งเต็มโลกที่วุ่นวายใบนี้อีกครั้ง

ผมเคยดูหนังรักอยู่เรื่องหนึ่ง ที่ผมชอบมาก และเป็นหนังที่ทำให้ผมร้องไห้ได้มากที่สุดในชีวิต My Girl & I อยากจะเขียนถึงมันบ้าง


ชีวิตคนเราต้องพบเจอคนมากมาย บางคนเข้ามาก็ผ่านไป ผ่านไปจากชีวิต หายไปจากความทรงจำ หรือ ยังคงวนเวียนอยู่ในจิตใจส่วนลึกๆ

ทุกครั้งที่เกิดความรู้สึกดีๆ ทุกครั้งที่เกิดความสัมพันธ์ ทุกครั้งที่เกิดคำสัญญา ถามตัวเองว่าคนข้างหน้าเราตรงนี้ใช่หรือเปล่า เขาหรือเธอเป็นคนที่เราฝันไว้หรือเปล่า หรือครั้งนี้เป็นแค่เพียงความประทับใจ แค่เพียงคนที่ผ่านมาพบกัน คนที่โชคชะตาลากมาพบ...แต่ไม่เคยบรรจบ...

แล้วก็ต้องผิดคำสัญญา...

จะเป็นอย่างไรถ้าเราเจอคนๆนั้น แม้ว่ามันจะยากเย็นเพียงใด ไม่ว่ามันจะบังเอิญขนาดไหน แต่ถ้าเราได้พบกัน เราจะได้รู้จักกันขนาดไหน เราจะได้คุยกันไหม หรือเราจะแค่เพียงเดินสวนกัน...แล้วไม่ได้พบกันอีกเลย

แล้วเราจะเสียดายไหม หากเราไม่รู้จักกัน...

และถ้าหากเราได้รู้จักกัน ได้เกิดความรู้สึกดีๆ เกิดความสัมพันธ์ เกิดคำสัญญา ถามตัวเองอีกครั้งว่าเราจะรักษาสิ่งนั้นไว้ได้นานเพียงใด ในโลกที่สับสนวุ่นวาย จะมีที่ๆสงบเพื่อเราสองคนไหม ในพายุที่รุนแรง จะเป็นไปได้ไหมที่เราจะได้มองดองดาวบนท้องฟ้าที่ใจกลางอันเงียบสงบ

แล้วถ้าโชคชะตาทำให้เราต้องจากกัน

อีก 50 ปีเราจะรักกันอยู่ไหม...

จนถึงวันนั้นที่เราพบกันอีก เราจะจำกันได้ไหม...

คนเราจะรักกันได้มากเพียงใด ในเมื่อความรักเป็นเพียงอารมณ์หนึ่ง...

มนุษย์ทั้งหลายที่ไขว่คว้า วนเวียนหาสิ่งที่เรียกว่าความรัก แต่กลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมัน ต่างอะไรกับหมูตาบอดที่วิ่งพล่านไปทั่วเล้าอย่างไร้จุดหมาย

ความรักเป็นพร หรือ คำสาป ของมนุษย์กันแน่...

วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2552

Happy??? New Year

ขอบคุณที่อุตส่าห์เปิดเข้ามานะครับ ตอนแรก อยากจะเขียนอะไให้ปีใหม่ซักหน่อย แต่ก็กลัวว่้าจะซ้ำกับของคนอื่น เลยกลัวว่าจะเขียนออกมาแล้วกลายเป็นพิมพ์เดียวกันหมด 

ทุกครั้งในวันปีใหม่ เราได้ยิน ได้เห็น ได้อ่าน คำว่าสวัสดีปีใหม่มากมาย หลากหลายภาษาพรั่งพรูไปด้วยคำอวยพรมากมาย ขอ..ขอ...ขอ....ขอ

คงจะดีสินะ ถ้าสิ่งที่ขอเป็นจริง ถ้าขอแล้วได้สมใจทุำกอย่าง ไอปีที่แล้วก็ขอ ทำไมไม่เห็นจะได้...(วะ)

อย่าเข้าใจผมผิดไป ไม่ได้มองโลกในแง่ร้าย ผมปลาบปลื้มปิติยินดีกับทุกคำอวยพร แทบจะยิ้มออกมาคนเดียวเวลามีเมสเซจเข้าเครื่อง (ขอโทษเพื่อนๆนะครับ ที่ไม่ได้ส่งกลับ เงินมันไม่มี ขนาดค่าค่าย 4 เขี้ยวยังไม่จ่ายเลย 555) 

ผมอยากจะขอมั่ง อยากจะอวยพรให้ทุกคนมั่ง ทุกคนคั้งใจอ่านให้ดีๆนะ ต่อจากนี้พรของผมเพียงข้อเดียวจะทำให้ทุกคนมีความสุขไปตลอดชีวิต 

พร้อมรึยัง...








































































ขอให้พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ครับ

วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ทางเลือก

2             

6 ปีที่แล้ว ผมจำได้ว่าไปตะโกนบอกฝรั่งที่สอนภาษาอังกฤษว่า Merry Christmas!!! ... อาจารย์เค้าก็ทำหน้างงๆ แล้วก็สอนต่อไป เพื่อนสนิทผมที่เป็นมุสลิมก็หันมาถามผม ประมาณว่าด่า มึงจะไปพูดอย่างนั้นทำไม มึงเป็นพุทธไม่ใช่หรอ... ผมคิดในใจ  เออ เป็นพุทธ แล้วกูจะพูดไม่ได้หรือไง

                เวลาผ่านไปไม่นานนัก วันตรุษจีนปีต่อมา ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ขณะนั่งรออาจารย์คาบต่อไปมาสอน จำวิชาไม่ได้  แล้วอาจารย์ก็เดินเข้ามา พร้อมกับพูดคำแรกว่า ซิงเจียยู่อี่ ซิงนี้ฮวดไช้ อาจารย์คนนี้เป็นคนไทยแท้ๆ ไม่มีเม็ดเลือดแดงเซลล์ไหนมาจากประเทศจีนแน่ๆ ผมเอง ซึ่งแน่นอนว่าสำเหนียกตัวเองว่ามีความเป็นจีนอยู่มากพอเหมือนกัน จึงเริ่มเข้าใจ ว่าไอที่เราไปตะโกน Merry Christmas มันจะทำให้รู้สึกอย่างไร

                ไม่ได้กีนกันอะไรทางวัฒนธรรม ไม่ได้คิดจะบอกว่าคุณไม่มีสิทธ์ และผมไม่ปฏิเสธว่าเทศกาลคริสต์มาส เป็นอีกเทศกาลที่ทำให้พื้นที่หลายๆแห่งฟุ้งไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสุข ไม่แพ้วันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง

แต่ปัจจุบันเราแทบจะ “มั่ว” ไปกับทุกสถานการณ์ ทุกเชื้อชาติ ศาสนา ทุกวัฒนธรรม บางทีผมแอบกลัวว่า อีก 50 ปีข้งหน้า เราจะมีอะไรไปบอกกับลูกหลานเราว่า นี่แหละคือวัฒนธรรมไทย และก็ถามจริงๆเถอะ เราเองก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ

 

1

ผมไม่ได้นับถือศาสนาอะไร  ผมไม่มีศาสนา

หลายคนได้ยินแล้วหันกลับมาถามผมซ้ำว่าหมายความว่าอะไร หลายคนสงสัย และบางคนทำสีหน้าหวาดกลัวเจือกังวลออกมาก่อนที่จะห้ามได้ ไม่แปลกที่เป็นอย่างนั้น เพราะทางที่ผมเลือกเดินไม่ใช่หนทางที่คนส่วนใหญ่ถูกบังคับให้เดิน

ผมไม่ได้พยายามที่จะทำตัวแตกต่าง ไม่ได้อยากที่จะแปลกกว่าคนอื่นมากนัก

ทำไมถึงไม่มีศาสนา? ผมถามกลับทุกครั้งว่า ทำไมต้องมีศาสนา? ผมใม่ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวอื่นใดนอกจากสิ่งมีชีวิตที่เรียกตัวเองว่า อภิวัฒน์   ไชยวัฒน์ คนนี้ และผมมั่นใจว่าผมรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว และเป็นคนดีด้วยตัวเองได้

เราทุกคนถูกบังคับเลือกศาสนามาตั้งแต่เกิด ก่อนจะเกิดด้วยซ้ำ คงไม่มีพ่อแม่คู่ไหนที่เป็นพุทธ แล้วพอลูกคลอดออกมาก็ถามว่า “ลูกอยากนับถือฮินดูมั้ยจ๊ะ” แต่ทุกวันนี้เราเลือกได้ เรามีสิทธ์ที่จะเชื่อ ศรัทธา หรือละทิ้งศรัทธา

 

3

                ผมเห็นชาวพุทธจำนวนมากที่ไหว้เจ้าแม่กวนอิม เจ่าพ่อเห้งเจีย ศาลตายาย ท้าวศรีมหาพรหม พระแม่อุมาเทวี พระพิฆเนศ พระราหู และอื่นๆอีกมากมายที่จะไหว้ได้ แม้กระทั่ง ปลัดขิก...

                ผมเห็นชาวพุทธอีกมากมายเช่าพระเครื่องราคาแพงๆ พยายามหาวัตถุกลมๆใหญ่ๆมาห้อย แถมต้องสะสมให้ครบรุ่น รุ่นนี้ใส่แล้วเพิ่มออพชั่นนี้ รุ่นนั้นใส่แล้วเพิ่มออพชั่นนั้น ใส่แล้วรวย มหาเศรษฐี มีโชคมีลาภ นี่หรือคือผมตอบแทนของศรัทธา เพราะต้องการออพชั่นพวกนี้หรอกหรือ

                อย่างที่ได้บอกไปในครั้งที่แล้ว โลกนี้ยังมีอะไรให้คิด ให้ลึก อีกมากมาย อย่าให้อะไรๆมาบดบังความจริง เปิดหู เปิดตา เปิดสมอง มองโลกให้ลึกซึ้ง มองโลกให้เข้าใจ แล้วทุกขณะของชีวิต จะมีอะไรให้คิดอีกเยอะ

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ตาสว่าง....ซะทีเถอะ

ผมเคยอ่านบทความจำพวกทายนิสัยหรือดูดาวจากราศีที่ตัวเองเกิด จริงๆแล้วเมื่อก่อนผมชอบอ่านเลยทีเดียว แต่ไม่ได้อ่านมานานมากแล้ว วันนี้บังเอิญได้มาพบอะไรพวกนี้อีกครั้ง ก็เลยเก็บมาคิดดูเล่นๆว่าเราทายนิสัยคนจากราศีได้จริงๆหรอ

        จริงๆแล้ว ราศีเกิดจากชื่อกลุ่มดาวประจำเดือนทั้ง 12 เดือน เช่นกลุ่มดาวธนู(ราศีธนู) กลุ่มดาวแกะ(ราศีเมษ) เป็นต้น  แน่นอนว่ากลุ่มดาวนั้นประกอบด้วยดาวหลายๆๆๆดวงที่ส่องแสงสว่างไม่เท่ากัน ดาวที่สว่างมากๆในกลุ่มดาวจะเป็นดาวที่สังเกตได้ง่าย และมีเป็นจุดที่ทำให้มนุษย์บนโลก จินตนาการรูปร่างของกลุ่มดาว ตามดาวที่สว่างๆพวกนั้น (คุณคงไม่คิดว่ามีแกะถือธนูลองอยู่บนอวกาศจริงๆหรอกนะครับ)

       การที่ดาวดวงหนึ่งจะสว่างมากกว่าดาวข้างเคียงนั้นคงเป็นเพราะอยู๋ใกล้กับโลกมากกว่าและมีพลังงานสูงกว่า คงไม่ได้สว่างเพราะดาวแต่ละดวงตกลงกันให้ซักดวงสว่างจ้าชึ้นมา สรุปแล้วที่เรามองเห็นกลุ่มดาวเป็นรูปร่างอะไรนั่นก็เป็นเพราะดาวแต่ละดวงสว่างไมเท่ากัน แล้วที่ดาวแต่ละดางสว่างไม่เท่ากันก็เพราะมันอยู่ห่างจากโลกไม่เท่ากัน

       อย่างที่บอกไปแล้วว่าเมื่อมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่ช่างสงสัยที่สุดในโลก ได้มองขึ้นไปมองบนฟ้า ก็เลยจินตนาการ(มั่ว)รูปร่างของกลุ่มดาวโดย ดูจากดาวที่สว่างๆแต่ละดวงเป็นหลัก เท่านี้เราก็ได้กลุ่มดาวจักรราศีซึ่งเป็นกลุ่มดาวประจำเดือนแต่ละเดือน...

       เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงเมื่อไรไม่ทราบ ได้เกิดการนำกลุ่มดาวเหล่านี้มาอ้างอิงถึงกลุ่มคนที่เกิดในเดือนแต่ละเดือนที่กลุ่มดาวแต่ละกลุ่มประจำอยู่ นั่นล่ะถึงเกิดการทายนิสัยคนจากราศีขึ้น

       ลักษณะการทายนิสัยเช่น ราศีธนู

-ธนูต้องง้างก่อนยิงแล้วถ้าง้างแล้วเก็บไม่ได้  -คนราศีธนูก็เลยเป็นคนเผด็จการ เอาแต่ใจ

-ธนูเมื่อยิงไปแล้วจะต้องโดนเป้า ไม่มีเฉ    -คนราศีธนูจึงเป็นคนแน่วแน่ เอาจริงเอาจัง 

 (ทายกันอย่างนี้เลยแหละ เอากันอย่างนี้เลยจริงๆ)

       เอาเป็นว่าถ้าผมเป็นคนที่ตั้งราศีธนูขึ้นแต่ผมไม่ได้มองมันเป็นธนู แต่กลับมองว่าเป็นก้อนเค้กก้อนใหญ่ๆ และตั้งชื่อว่าราศีขนมปัง คนในราศีนี้ก็จะเปลี่ยนนิสัยจากีที่เคยเอาจริงเอาจัง มีจุดประสงค์แน่วแน่ กลายเป้นคนนุ่มนิ่ม น่ากิน ไปในทันที 

หากลองคิดๆดูในบทความพวกดูดวงหรือทายนิสัยต่างๆมากมาย เราจะพบอะไรแปลกๆและน่าตลกอยู่หลายจุด และหากเราพิจารณาถึงความเชื่อหรือกฎระเบียบที่เราเคยเชื่อหรือปฏิบัติตามคุณจะพบข้อสงสัยมากมายรวมไปถึงอารมณ์ที่รู้สึกว่า ทำไมมันช่างงี่เง่าอะไรเช่นนี้!!

       ผมเชื่อว่าโลกใบนี้มีอะไรให้เรามอง ให้เราคิด ให้เราค้นหา ให้เราสงสัยมากมาย แต่ขณะนี้ทุกคนกำลังถูกหลายๆสิ่งในสังคมโลกปิดหูปิดตา ทั้งการศึกษา เศรษฐกิจ สภาพสังคมที่เร่งรีบ ปัญหาจราจรหรือ แม้กระทั่งหลักธรรมในศาสนา  เราถูกฝังความคิดอะไรๆมามากมายโดยที่เราไม่รู้ตัวและไม่คิดที่จะหยุดคิดไตร่ตรองวถึงเหตุผลของมัน

       เอาล่ะ..ตอนนี้ถึงเวลาที่คุณจะต้องลืมตาขึ้นมาดูโลกซะที แล้วคุณจะมองโลกอย่างที่ควรจะเห็น คุณจะพบสิ่งที่ควรจะพบ และถ้าคุณรู้สึกอย่างนั้นเมื่อไร อย่าลืมบอกกันด้วยนะ....